หนังสุดฮา ที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักแต่ผู้กำกับไม่แคร์

หนังสุดฮา

หนังสุดฮา หากเราย้อนกลับไปในปี 2004 ซึ่งเป็นยุคที่หนังแนวโรแมนติก-คอมมาดี้

หนังสุดฮา หนังชิคฟลิคที่มีตัวละครวัยทีน เต็มไปหมด และหลายต่อหลายเรื่องสามารถทำเงินในระดับร้อยล้านเหรียญฯ ชนิดที่ยุคปัจจุบันเราแทบจะหาหนังในหมวดหมู่นี้ ดูตามโรงภาพยนตร์ยากเย็นเอาเสียเหลือเกิน

เมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกยึดครองด้วยหนัง แฟรนไชส์ ภาคต่อ และซูเปอร์ฮีโร่เสียจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้หนังฟอร์มกลางและเล็กได้แบ่งปันรสชาติชีวิตในมุมอื่นสักเท่าไหร่ เมื่อ ไวท์ ชิคส์ ออกฉายตอนนั้น หนังโดนโจมตีจากนักวิพากษ์วิจารณ์

ว่ามันเป็นหนังที่ไร้สมอง ไม่มีความสนุก อุดมไปด้วยมุกตลกใต้สะดือ อุจจาระของเสีย พล็อตเรื่องเต็มไปด้วยช่องโหว่ สามารถคาดเดาได้ทุกอย่าง แถมเมคอัพของนักแสดงก็น่ากลัวราวกับเอเลี่ยน ที่น่าแปลกใจคือทำไมผู้ชมมองไม่เห็นความไม่สมจริงที่เกิดขึ้นบนหน้าจอได้!

ในยุคที่นักวิพากษ์วิจารณ์เคร่งเครียดกับการมองหาความสมจริงสมจัง ในขณะที่ผู้ชม (และตัวผู้สร้างเอง) น่าจะเลือกมองข้ามตรรกะในความสมจริงทิ้งไปแบบไม่แคร์และไม่ใยดีถึงข้อเท็จจริงนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะน้ำเสียงและโทนของ ไวท์ ชิคส์

ไม่ได้ต้องการจะนำเสนอความสมจริง ตั้งแต่หนังตัดสินใจเลือกจะเขียนบทให้ผู้แสดงนำนายตำรวจ เอฟบีไอ อย่างมาร์คัส (มาร์ลอน เวย์นส์) และเควิน โคปแลนด์ (ชอว์น เวย์นส์) จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นสองพี่น้องไฮโซสาวสวยอย่างบริทนีย์ (เมตแลนด์ วอร์ด)

และทิฟฟานี่ วิลสัน (แอนน์ ดูเด็ก) โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยปลอมตัว เอฟบีไอ ในการแปลงโฉมชายหนุ่มผิวดำ ให้กลายเป็นสาวผิวขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งคนดูรับรู้อยู่แล้วว่าการปลอมตัวครั้งนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนร่างต้นฉบับ

แต่เมื่อเรายอมรับในตรรกะนี้แล้ว ผู้ชมจะพบว่าจริงๆหนังเรื่องนี้ตั้งใจจะทำขึ้นมาเพื่อ “เสียดสี” วัฒนธรรมป๊อปของคนผิวขาวเสียด้วยซ้ำไป การเดินทางเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดเดิ้นของเหล่าในไฮโซในโรงแรมแฮมป์ตัน

กลายเป็นบททดสอบสองนายตำรวจผิวสีไม่ให้โป๊ะแตกว่าทั้งคู่เป็นชายในร่างผู้หญิง ที่แปลงโฉมมาสืบสาเหตุแผนการลักพาตัวของสองพี่น้องวิลสัน แน่นอนว่าระหว่างทาง อุปสรรคที่ทั้งสองต้องเจอไม่ใช่แค่การสืบคดี  ข่าว หนังใหม่ MarVel

 หนังสุดฮา

แต่ว่าเป็นการรับมือกับวัฒนธรรมของคนผิวขาวซึ่งทั้งสองเองนอกจากจะยังไม่ชินแล้ว พวกเขายังต้องรับมือในฐานะผู้ชายที่ต้องแสร้ง

มีจริตไลฟ์สไตล์แบบผู้หญิงไฮโซอีกต่างหาก ความตลกที่เกิดขึ้น ผู้ชมจะได้เห็นวิธีการเลียนเสียงให้มีจริตจก้านแบบความเชิด

ความประดิษฐ์จนเกินเบอร์ ซึ่งแน่นอนเมื่อมันถูกแสดงผ่านเมคอัพอันผิดธรรมชาติ จึงยิ่งทวีความขบขันมากขึ้นหลายเท่าตัว

แต่วิถีที่ทั้งสองนักแสดงจะต้องไปฟาดฟันในวงสังคมชั้นสูง คือการชิงดีชิงเด่นระหว่างผู้หญิงด้วยกันเอง

โดยเฉพาะการที่ทั้งคู่นายตำรวจจะต้องไปปะทะกับเฮเธอร์ (เจมี่ คิง) และเมแกน (บริททานีย์ แดเนียล)  สองพี่น้องตระกูลแวนเดอร์เกลที่ถือไพ่ความรวย และกำชัยชนะมาโดยตลอด แต่เมื่อวันนี้มาร์คัสและเควิน

ในร่างของบริทนีย์และทิฟฟานี่เลือกที่จะไม่อ่อนข้อให้กับสองพี่น้องจอมเอาแต่ใจอีกต่อไป ทั้งสองจึงฟาดฝีปากในการปะทะกันหนแรกในสไตล์แรปเปอร์ โต้คารม ที่ใครไม่ขำก็อาจจะต้องบอกว่าคุณเป็นคนเส้นลึกมากจริงๆ

อันที่จริงตลอดรายทางของหนัง สองตัวละครอย่างมาร์คัสและเคลวินเลือกที่จะเอาวัฒนธรรมของคนผิวสีมาปะทะกับวัฒนธรรมของคนผิวขาว ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตัวละครลาเทรล (เทอร์รี่ ครูวส์)

ผู้เล่นบาสเกตบอลที่หิวและจ้องจับอยากจะได้ทิฟฟานี่จนเนื้อตัวสั่น จนเขาเลือกจะใช้เงินฟาดหัว ด้วยการทุ่มเงินกว่า 5 หมื่นดอลลาร์ในการประมูลเธอ ในกิจกรรมระดมทุนเข้ามูลนิธิแวนเดอร์เกล ซึ่งในฉากดังกล่าวตัวละครนักข่าวผิวสีเดนิส พอร์เตอร์

ยังถูกเควินแซะด้วยซ้ำว่ากิจกรรมของคนผิวขาวนี่เขา “เอาผู้หญิงมาประมูล” กันแบบนี้เลยเหรอ

นอกจากจะแซะไลฟ์สไตล์ที่นอกจากจะเหยียดเพศแล้ว วิถีทางการฟังเพลงก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่หยิบเอามาจวกคนดูได้อย่างมีกึ๋น เมื่อในขณะที่เหล่าสาวๆทั้งห้า อันประกอบไปด้วยบริทนีย์ ทิฟฟานี่ เคเรน (บูซี่ ฟิลลิปส์) ทอรี่ (เจสสิก้า คัฟฟิว)

และลิซ่า (เจนนิเฟอร์ คาร์เพนเตอร์) ต้องโดดขึ้นรถเปิดประทุนพร้อมกับเพลง อะ เทาซั่น ไมเลส ของวาเนสซ่า คาร์ลตัน ที่ฮิตและดังเป็นพลุแตกในปี 2002 เกิดดังขึ้น ทำให้พวกเธอต้องร่วมกันร้องประสานเสียง แต่ว่าเมื่อสองพี่น้องวิลสัน (ตัวปลอม)

ร้องเพลงนี้ได้อย่างเพี้ยนและเงอะงะ แต่เมื่อเพลง รีเลส นิกก้าส์ ของนักร้องผิวสีอย่าง 50 เซนท์ และ โนโตรัส บี.ไอ.จี. ดังขึ้น ทั้งสองกลับร้องท่อนที่มีคำว่า “นิโกร” ได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ จนถึงบรรดาเพื่อนพ้องสาวที่เหลือกำเนิดอาการงง

หนังสุดฮา

และตั้งคำถามกลับว่าทำไมพวกเธอถึงกล้าร้องเพลงนี้ สองสาวจึงบอกว่า ก็ไม่เห็นจะมีชาวผิวสีอยู่แถวนี้เลยนี่นา เมื่อเห็นดีเห็นงามด้วย

ทั้ง 5 คนจึงร้องเพลงนี้กันอย่างเมามันและออกรส นั่นหมายความว่าการฟังเพลงฮิปฮอปในหมู่คนขาวนั้นดูเป็นเรื่องไกลตัว

และ “น่าอาย” ที่จะยอมรับในวัฒนธรรมของคนผิวสี ทั้งที่จริงพวกเขาก็ชอบแต่อายเหลือเกินที่จะยอมรับมันออกมา

เช่นเดียวกันกับตอนฉากที่พวกสองพี่เฮเธอร์และเมแกน กำลังจะท้าดวลเต้นกับเคเรนและลิซ่า

ระหว่างที่ (ไอ กอท แดท) บูม บูม ของบริทนีย์ สเปียร์ กำลังจะจบลง และเพลงที่ดังขึ้นก้องกังวานผับแทนคือ เครซี่ อิน เลิฟ ของบียอนเซ่ ได้กลายเป็นเพลงที่เหล่าสาวๆเดินสับๆเข้ามาสู่ฟลอร์เต้น เปรียบเสมือนการเปิดศักราชของนักร้องศิลปินป๊อปผิวสีทางอ้อมอยู่เช่นกัน

ยังไม่รวมถึงเพลงลำดับที่สองมาร์คัสและก็เควินเลือกมาเป็นทีเด็ดสำหรับการเต้นฮิปฮอป บีบอยใส่สองพี่น้องแวนเดอร์เกลชนิดหมดทางสู้ในเพลง  อิท อิส ทริคกี้ ของ รัน–ดี.เอ็ม.ซี.เป็นอีกหนึ่งการจิกกัดวัฒนธรรมป๊อปของคนผิวขาวได้อย่างน่าสนใจและแนบเนียนเอามากๆ

ในยุคสมัยนั้นเราอาจจะมองไม่เห็นรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้เลย แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป เรากลับพบว่าความสนุกที่ยืนยันกับผู้ชมมาโดยตลอด 17 ปีของภาพยนตร์เพราะนอกจากมุกตลกเจ็บตัวหรือมุกสกปรกของเสียแล้ว

การปะทะกันระหว่างสองวัฒนธรรมกลายเป็นหนึ่งในมุกที่ทรงประสิทธิภาพและอยู่ข้ามกาลเวลาอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นแล้ว หนังเรื่องนี้เมื่อถึงยุคสมัยหนึ่งมันคงไม่ทำงานกับผู้ชม และเก่าเกินแกง และก็กลายเป็นความขำแห้งๆไป

วันนี้ ไวท์ ชิคส์ ได้พิสูจน์แล้วว่า มันยังเป็นภาพยนตร์ตลกที่สนุกสนานข้ามกาลเวลา และที่น่าสนใจกว่าคือตอนนี้ ไวท์ ชิคส์ 2 กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาการสร้างของพี่น้องเวย์น จะเสร็จเมื่อใดก็คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่า การกลับมาครั้งนี้จะสมการรอคอยของแฟนหนังหรือไม่