สตีเวน และวิน ดีเซล กับมิตรภาพที่ยาวนานของพวกเขาทั้งคู่

สตีเวน

สตีเวน  ก่อนจะมาโด่งดังเป็นยอดดาวบู๊ ผู้ไร้เส้นผม วิน ดีเซล เคยผ่านช่วงเวลายากลำบาก ในตอนที่เริ่มเข้าวงการใหม่ ๆ

สตีเวน เขาเป็นคนมีไอเดียที่ดีในการทำหนังของตัวเอง และเขาแค่พึงพอใจ เล่นเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ ในหนังเท่านั้น วิน ดีเซล ไม่ ได้มีความโดดเด่นทางด้านกายภาพมากพอ ที่จะเป็นผู้แสดงได้ มีแค่น้ำเสียงอันทุ้มหนา อันเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น

ที่ทำให้เขา ก้าวสู่วงการในแบบที่ตัวเขาเอง ก็ยังแปลกใจ เขาเริ่มต้นจากการทำหนังสั้น มัลติ-แฟเชียล ในปี 1995 และได้รับโอกาส กำกับ + นำแสดง ในหนังทุนต่ำ สเตรยส์ ในปี 1997 ผลงานของเขาถูกจับตาในเทศกาลหนัง ซันแดนซ์ ฟิล์ม เฟสติวอล

แต่ทว่าโลกยังไม่พร้อมอ้าแขนรับคนพิเศษอย่างเขาสักเท่าไหร่ งานของเขาจึงเงียบหายไป เป็นช่วงเวลาตกต่ำของชีวิตของวิน  กำลังหันหลังให้วงการ เพราะแม้เขาจะพยายามสักแค่ไหนในการไปแคสติ้งคัดตัวนักแสดง ข่าว หนังใหม่ MarVel

สตีเวน

ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะได้บทเลย ทว่าเขายังพอมีดีที่น้ำเสียงอันทุ้มครึ้ม เขาจึงได้โอกาสเล็กๆในการใส่เสียงสนทนากับ บรูซ วิลลิส  ทางโทรศัพท์ ในหนัง ฟิฟ เอลเลเมนท์ เป็นบทสนทนาสั้นๆที่เขา รับบทเป็น ฟิงเกอร์ เจ้าของอู่แท็กซี่ที่โทรมาเฉ่งตัวละคร

กอร์เบน ดอลลาส ของ บรูซ วิลลิส แค่บทสนทนาสั้นๆนั่นเอง มันได้เปลี่ยนชีวิตผู้ชายคนนี้ ไปตลอดกาล เพราะ เดอะ ฟิฟ  เอลเลเมนท์ คือหนังที่ยอดผู้กำกับ ชอบมาก พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด สะดุดเข้ากับเสียงจากปลายสายนั้น

ที่พูดกับเขา จึงสั่งให้สืบว่าหมอนี่มันเป็นใคร จนกระทั่งได้ความว่า เขาคือคนทำหนัง มัลติ-แฟเชียล ที่ฮือฮาใน ซันแดนซ์ ฟิล์ม เฟสติ วอล เมื่อปี 1995 ผู้กำกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก ก็เลยจัดการให้เอเย่นต์ ติดต่อให้มาพูดคุย

เนื่องจาก มีโปรเจกต์จะพรีเซ็นท์ จากผู้สิ้นหวัง ในวงการ จนแทบจะลาแล้วฮอลลีวู้ด 

เมื่อรู้ว่าผู้กำกับหนังชื่อดัง สนใจร่วมงานกับเขาถึงขั้นวุ่นวาย เขากระโดดพล่านไปทั่ว ในเวลาต่อมา เขาก็ได้ปรากฏตัว ในหนังสงคราม ในตำนานอย่าง เซฟวิ่ง ไพรเวท รยาน

สตีเวนและได้รับโอกาสใช้เสียงพากย์ อย่างเต็มที่ในหนังการ์ตูน เดอะ ไอร่อน ไจ แอ้น เขาพากย์เป็นเจ้ายักษ์เหล็กตัวนั้น

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นผลงานสร้างจาก แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนท์ ร่วมกับ  วอร์เนอร์ เมื่อครั้งที่เขียนบท ให้แสดงในภาพยนตร์นั้น

ไม่ได้มอบบทที่เด่นมากนักให้เขา จริงๆเขาให้ใครแสดงก็ได้ แต่ที่ต้อง เลือกนั่นเพราะค่าตัวจากหนังเรื่องนี้จะเป็นการต่อลมหายใจ

ให้ผู้แสดงคนหนึ่ง เพื่อที่เขาจะได้มีเงินลงทุนในการประคองตัวในวงการ  เพื่อในอนาคต เขาจะได้ก้าวขึ้นสู่ การเป็นคนทำหนังคุณภาพต่อไป

ไม่ต้องหันไปทำมาหากินอื่น จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เข้าสู่การเป็นศิลปิน นัก บู๊อย่างที่เห็น ๆ กันนั่นเอง และควบคู่ไปกับการตีต่อยถือปืน

เขายังคงได้ใช้เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ในการพากย์เสียงในหนัง ดัง ๆ อยู่เสมอ ๆ เช่นบทเจ้า กรูท ใน การ์เดียน ออฟ เดอะ กาแล็กซี

เป็นต้น ( เออ เป็นต้นจริงๆด้วย ) ปี 2018 ตัวละครที่เขา ให้เสียงพากย์ ได้ กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ในหนัง เรดี เพลย์เยอร์ วัน

แม้ว่าแนวทางการทำงานของทั้งสองจะไม่ค่อยได้มาบรรจบกันสักเท่าไหร่  แต่พวกเขายังเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ปี 2020 พวกเขา กลับมาเจอกันอีกครั้ง

และมีการแอบแซะเขา แบบทีเล่นทีจริงว่า ” การที่นายไม่ได้เป็นผู้กำกับ  ผลิตงานคุณภาพ แบบสมัยก่อนที่นายทำ

มันคืออาชญากรรมบนโลกภาพยนตร์ กลับไปนั่งเก้าอี้ผู้กำกับไป๊ ” แม้จะเป็นการแซวเล่นๆแต่เราเห็นอะไรมากมาย ในคำพูดของผู้ กำกับ  นั่นเพราะทุกวันนี้เขา สร้างหนังบนพื้นฐานของการตลาดล้วนๆ จึงนึกเสียดาย วิสัยทัศน์ที่เคยกำกับหนังเล็ก ๆ ที่มีคุณภาพ

มันสามารถควบคู่ไปด้วยกันได้ กับหนังกระแสหลักได้ เมื่อผู้กำกับนั้น ผู้มีพระคุณพูดให้เขาฉุกคิด จึงยกเอา จอน แฟบริว ผู้กำกับ ไอ ร่อนแมน มาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เพราะ จอนเองก็เคยเป็นนักแสดงที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ได้